ธาตุกัมมันตรังสี คือ ธาตุที่มีสมบัติในการแผ่รังสี
กัมมันตภาพรังสี คือ ปรากฏการณ์ที่ธาตุแผ่รังสีได้อย่างต่อเนื่อง
การเกิดกัมมันตภาพรังสี
1. เกิดจากนิวเคลียสในสภาวะพื้นฐานได้รับพลังงาน ทำให้นิวเคลียสกระโดดไปสู่ระดับพลังงานสูงขึ้น ก่อนกลับสู่สภาวะพื้นฐาน นิวเคลียสจะคายพลังงานออกมาในรูปรังสีแกมมา
2. เกิดจากนิวเคลียสที่อยู่ในสภาพเสถียร แต่มีอนุภาคไม่สมดุล นิวเคลียสจะปรับตัวแล้วคายอนุภาคที่ไม่สมดุลออกมาเป็นอนุภาคแอลฟาหรือเบตา
2. เกิดจากนิวเคลียสที่อยู่ในสภาพเสถียร แต่มีอนุภาคไม่สมดุล นิวเคลียสจะปรับตัวแล้วคายอนุภาคที่ไม่สมดุลออกมาเป็นอนุภาคแอลฟาหรือเบตา
การเกิดกัมมันตรังสี
ในปี พ.ศ. 2439 อองตวน อองรี แบ็กเกอแรล (Antcine Henri Bacquerel)
ในปี พ.ศ. 2439 อองตวน อองรี แบ็กเกอแรล (Antcine Henri Bacquerel)
นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ได้พบว่าแผ่นฟิล์มถ่ายรูปที่มีกระดาษดำห่อหุ้มอยู่ และเก็บรวมกันไว้กับสารประกอบของยูเรเนียม มีลักษณะเหมือนถูกแสง จึงทำการทดสอบกับสารประกอบของยูเรเนียมชนิดอื่นๆ พบว่าให้ผลการทดลองเช่นเดียวกัน แบ็คเกอเรลจึงสรุปเป็นเบื้องต้นว่า มีการแผ่รังสีออกมาจากธาตุยูเรีเนียม ต่อมาปีแอร์ กูรี (Pierre Curie) และมารี กูรี (marie Curie) นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ก็ได้พบว่าธาตุอื่น ๆ เช่น พอลโลเนียม (Po) เรเดียม (Ra) และทอเรียม (Th) ก็สามารถแผ่รังสีได้เช่นเดียวกัน ปรากฏการณ์ที่ธาตุแผ่รังสีได้เองอย่างต่อเนื่องเช่นนี้เรียกว่า กัมมันตภาพรังสี ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงภายในนิวเคลียสของไอโซโทปที่ไม่เสถียรและเรียกธาตุที่มีสมบัติเช่นนี้ว่า ธาตุกัมมันตรังสี ธาตุต่างๆ ที่พบในธรรมชาติส่วนใหญ่มีเลขอะตอมสูงกว่า 83 ล้วนแต่แผ่รังสีได้ทั้งสิ้น
นอกจาก ธาตุกัมมันตรังสีในธรรมชาติแล้ว นักวิทยาศาสตร์ยังสามารถสังเคราะห์ ธาตุกัมมันตรังสีขึ้นมาได้ ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ ได้มากมาย และเออร์เนสต์ รัทเทอร์ฟอร์ด (Ernest Rutherford) ได้ศึกษาเพิ่มเติม และได้แสดงให้เห็นว่ารังสีที่แผ่ออกมาจากสารกัมมันตรังสีอาจเป็น รังสีแอลฟา ( - ray ) รังสีเบตา ( - ray) หรือ รังสีแกรมมา ( -ray) ซึ่งมีสมบัติต่าง ๆ กัน
นอกจาก ธาตุกัมมันตรังสีในธรรมชาติแล้ว นักวิทยาศาสตร์ยังสามารถสังเคราะห์ ธาตุกัมมันตรังสีขึ้นมาได้ ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ ได้มากมาย และเออร์เนสต์ รัทเทอร์ฟอร์ด (Ernest Rutherford) ได้ศึกษาเพิ่มเติม และได้แสดงให้เห็นว่ารังสีที่แผ่ออกมาจากสารกัมมันตรังสีอาจเป็น รังสีแอลฟา ( - ray ) รังสีเบตา ( - ray) หรือ รังสีแกรมมา ( -ray) ซึ่งมีสมบัติต่าง ๆ กัน
การแผ่รังสีของอนุภาคแอลฟา
· สัญลักษณ์ α หรือ 42He ประกอบด้วยโปรตอน 2 อนุภาค นิวตรอน 2 อนุภาค
· การแตกสลายตัวโดยการแผ่รังสีแอลฟา มักเกิดจากการแตกสลายตัวของนิวเคลียสที่มีเลขอะตอม 83 ขึ้นไป ทั้งนี้เพราะแรงผลักในนิวเคลียสที่มากกว่าแรงยึดเหนี่ยวจึงทำให้นิวเคลียสพยายามลดโปรตอนกับนิวตรอนลง เพื่อให้นิวเคลียสเสถียร
· การแตกสลายให้อนุภาคแอลฟา อะตอมใหม่มี เลขอะตอมลดลง 2 เลขมวลลดลง 4
· อำนาจทะลุทะลวงต่ำเพียงแค่กระดาษ อากาศหนา 2-3 เซนติเมตร หรือโลหะบางๆ ก็สามารถกั้นอนุภาคอยู่ได้
· ตัวอย่างธาตุที่สลายให้อนุภาคแอลฟา เช่น 22688Ra -------> 22286Rn + 42He
การแผ่รังสีของอนุภาคบีตา และโพซิตรอน
อนุภาคบีตา
· สัญลักษณ์ β- หรือ 0-1e
· การแตกสลายให้อนุภาคบีตาเกิดจากอัตราส่วน โปรตอนต่อนิวตรอนในนิวเคลียส เบนออกจากเส้นเสถียรภาพ จึงมีการให้อนุภาคดังกล่าวเพื่อให้เสถียร
· มีสมบัติเหมือนอิเล็กตรอน คือมีประจุเป็น -1
· อำนาจทะลุทะลวงมากกมว่าแอลฟาประมาณ 100 เท่า
· มีความเร็วใกล้เคียงกับความเร็วแสง
· น้ำหนา 2 เซนติเมตร โลหะบางๆ เช่น Al จะหยุดบีตาได้
· ในกรณีที่แผ่รังสีบีตาออกมา จะเกิดกับนิวเคลียสที่มีนิวตรอนมากกว่าโปรตอน เมื่อคิดจากไอโซโทปที่เสถียรของธาตุเดียวกัน ดังนั้นนิวตรอนในนิวเคลียสจึงเปลี่ยนเป็นโปรตอนและอิเล็กตรอน (ปล่อยบีตาออกมา)
อนุภาคโพซิตรอน
· สัญลักษณ์ β+ หรือ 0+1e
· มีสมบัติเช่นเดียวกับบีตา ต่างกันที่โพซิตรอนมีประจุเป็นบวก ไม่เสถียร
· ในกรณีที่แผ่รังสีโพซิตรอนออกมา จะเกิดกับนิวเคลียสที่มีจำนวนโปรตอนมากกว่านิวตรอนเมื่อคิดจากไอโซโทปที่เสถียรของธาตุเดียวกัน ดังนั้นโปรตอนในนิวเคลียสจึงเปลี่ยนเป็นนิวตรอนและ โพซิตรอน พร้อมปล่อยพลังงานออกมา
การแผ่รังสีแกมมา
· สัญลักษณ์ γ
· มีพลังงานสูง ไม่มีประจุ ไม่มีมวล เป็นรังสีแม่เหล็กไฟฟ้า
· มีความเร็วเท่ากับความเร็วแสง
· ไม่เบี่ยงเบนในสนามแม่เหล็ก
· อำนาจทะลุทะลวงสูง ต้องใช้ตะกั่วและคอนกรีตผสมเข้าด้วยกันจึงจะสามารถหยุดยั้งแกมมาได้
· รังสีแกมมาถูกปล่อยออกมาเมื่อนิวเคลียสเปลี่ยนจากสถานะเร้าหรือสถานะพลังงานสูง ไปยังสถานะที่มีพลังงานต่ำกว่าเนื่องจากรังสีแกมมาไม่มีทั้งประจุและมวล การแผ่รังสีแกมมาจึงไม่ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงเลขมวลหรือเลขเชิงอะตอมของนิวเคลียสอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อ Ra-226 เปลี่ยนไปเป็น Rn-222 โดยการแผ่รังสีแอลฟานั้น Rn-222 ไม่เสถียรภาพจึงแผ่รังสีแกมมาออกมา
วิธีการตรวจธาตุกัมมันตรังสี
1. ให้ฟิล์มถ่ายรูปหุ้มสารนั้นไว้ในที่มืด แล้วนำฟิล์มไปล้าง ถ้าเป็นสารแผ่รังสี ฟิล์มจะปรากฏเป็นสีดำ
2. เอาสารที่เป็นกัมมันตรังสีเข้าใกล้ๆสารเรืองแสง ถ้าเป็นสารแผ่รังสีจะมีแสงเรืองเกิดขึ้น
3. ใช้เครื่องมือไกเกอร์มูลเลอร์เคาน์เตอร์ จะมีหน้าปัดบอกปริมาณรังสีที่แผ่ออกมาได้
การทำงานของเครื่องไกเกอร์มูลเลอร์เคาน์เตอร์ เมื่อรังสีผ่านเข้าไปจะไปกระทบอะตอมของ Ar ซึ่งจะทำให้ Ar เกิดการแตกตัว e- จะหลุดออกไป เกิดเป็น Ar+ ทั้ง e- และ Ar+ จะวิ่งไปยังขั้วบวกและลบ ซึ่งทำให้เกิดการแตกตัวมากขึ้น และเกิดกระแสไฟฟ้าขึ้น ซึ่งขั้วทั้งสองจะต่อกับเครื่องนับรังสี เพื่อบอกปริมาณรังสีออกมาเป็นตัวเลข
ประโยชน์ของธาตุกัมมันตรังสี
1. ด้านการแพทย์
I-131 ใช้ตรวจสอบความผิดปกติของต่อมไทรอยด์
Na-24 ใช้ตรวจสอบการไหลเวียนของเลือด
Co-60, Ra-226 ใช้รักษาโรคมะเร็ง
2. ด้านวิทยาศาสตร์
ใช้สร้างธาตุใหม่หลังยูเรเนียม สร้างขึ้นโดยยิงนิวเคลียสของธาตุหนักด้วยอนุภาคแอลฟา หรือด้วยนิวเคลียสอื่นๆที่ค่อนข้างหนักและมีพลังงานสูง
23994Pu + 42He ---------> 24696Cm
23892U + 147N ---------> 24899Es + 4(10n)
3. ด้านเกษตรกรรม
- นำพืชมาอาบรังสี เพื่อให้มีพันธุกรรมที่ดีขึ้น
- ใช้ Co-60 ในการถนอมอาหาร เพราะทำลายแบคทีเรียได้
4. ด้านอุตสาหกรรม
- ใช้ตรวจหารอยรั่วของท่อส่งน้ำมัน
- ใช้ปรับคุณภาพของอัญมณี
5. ด้านพลังงาน
- U-238, Pu-239 ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตกระแสไฟฟ้า
6. ด้านธรณีวิทยา
- ใช้ C-14 หาอายุของวัตถุโบราณ
โทษของธาตุกัมมันตรังสี
ถ้าร่างกายได้รับจำทำให้โมเลกุลภายในเซลล์เกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่สามารถทำงานเป็นปกติได้ ถ้าเป็นเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายทอดลักษณะ จะเกิดการผ่าเหล่า เมื่อเข้าไปในร่างกายจะไปสะสมในกระดูก แสงอนุภาคแอลฟาที่เปล่งออกมา จะไปทำลายเซลล์ที่ทำหน้าที่ผลิตเม็ดเลือดแดง ทำให้เกิดมะเร็งในเม็ดเลือดได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น